เมนู

ทวีหิ สีเลหิ สมันนาคโตติกถา



[1400] สกวาที บุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยมรรค เป็นผู้
ประกอบด้วยศีล 2 อย่าง หรือ ?
ปรวาที ถูกแล้ว.
ส. บุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยมรรค เป็นผู้ประกอบ
ด้วยผัสสะ 2 อย่าง ด้วยเวทนา 2 อย่าง ด้วยสัญญา 2 อย่าง ด้วยเจตนา
2 อย่าง ด้วยจิต 2 อย่าง ด้วยศรัทธา 2 อย่าง ด้วยวิริยะ 2 อย่าง ด้วย
สติ 2 อย่าง ด้วยสมาธิ 2 อย่าง ด้วยปัญญา 2 อย่าง หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[1401] ส. บุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยมรรค เป็นผู้ประกอบ
ด้วยศีลอันเป็นโลกิยะ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. บุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยมรรค เป็นผู้ประกอบ
ด้วยผัสสะอันเป็นโลกิยะ ด้วยเวทนาอันเป็นโลกิยะ ด้วยสัญญาอันเป็น
โลกิยะ ด้วยเจตนาอันเป็นโลกิยะ ด้วยจิตอันเป็นโลกิยะ ด้วยศรัทธาอัน
เป็นโลกิยะ ด้วยวิริยะอันเป็นโลกิยะ ด้วยสติอันเป็นโลกิยะ ด้วยสมาธิ
อันเป็นโลกิยะ ด้วยปัญญาอันเป็นโลกิยะ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[1402] ส. บุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยมรรค เป็นผู้ประกอบ
ด้วยศีล ทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตตระ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. บุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยมรรค เป็นผู้ประกอบ

ด้วยผัสสะทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตตระ ฯลฯ เป็นผู้ประกอบด้วยปัญญา
ทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตตระ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. บุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยมรรค ประกอบด้วย
ศีลอันเป็นโลกิยะหรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. บุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยมรรคเป็นปุถุชน หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[1403] ส. บุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยมรรค เป็นผู้ประกอบ
ด้วยสัมมาวาจาอันเป็นโลกิยะ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. บุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยมรรค เป็นผู้ประกอบ
ด้วยสัมมาทิฏฐิอันเป็นโลกิยะ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. บุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยมรรค เป็นผู้ประกอบ
ด้วยสัมมาวาจาอันเป็นโลกิยะ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. บุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยมรรค เป็นผู้ประกอบ
ด้วยสัมมาสังกัปปะอันเป็นโลกิยะ ฯลฯ ด้วยสัมมาวายามะอันเป็นโลกิยะ
ฯลฯ ด้วยสัมมาสติอันเป็นโลกิยะ ฯลฯ ด้วยสัมมาสมาธิอันเป็นโลกิยะ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. บุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยมรรค เป็นผู้ประกอบ

ด้วยสัมมากัมมันตะอันเป็นโลกิยะ ฯลฯ ด้วยสัมมาอาชีวะอันเป็นโลกิยะ
หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. บุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยมรรค เป็นผู้ประกอบ
ด้วยสัมมาทิฏฐิอันเป็นโลกิยะ ฯลฯ ด้วยสัมมาสมาธิอันเป็นโลกิยะ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[1404] ส. บุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยมรรค เป็นผู้ประกอบ
ด้วยสัมมาวาจาทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตระ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. บุคคลมีความพร้อมเพรียงด้วยมรรค เป็นผู้ประกอบ
ด้วยสัมมาทิฏฐิทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตตระ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. บุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยมรรค เป็นผู้ประกอบ
ด้วยสัมมาวาจาทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตตระ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. บุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยมรรค เป็นผู้ประกอบ
ด้วยสัมมาสังกัปปะทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตระ ฯลฯ ด้วยสัมมาวายามะ
ทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตตระ ฯลฯ ด้วยสัมมาสติทั้งที่เป็นโลกิยะและ
โลกุตตระ ฯลฯ ด้วยสัมมาสมาธิทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตตระ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. บุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยมรรค เป็นผู้ประกอบ
ด้วยสัมมากัมมันตะทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตตระ หรือ ? ฯลฯ

[1405] ส. บุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยมรรค เป็นผู้ประกอบ
ด้วยสัมมาอาชีวะ ทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตตระ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. บุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยมรรค เป็นผู้ประกอบ
ด้วยสัมมาทิฏฐิทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตตระ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. บุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยมรรค เป็นผู้ประกอบ
ด้วยสัมมาอาชีวะทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตตระ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. บุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยมรรค เป็นผู้ประกอบ
ด้วยสัมมาสังกัปปะทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตตระ ฯลฯ ด้วยสัมมาสมาธิ
ทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตตระ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[1406] ป. ไม่พึงกล่าวว่า บุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยมรรค
เป็นผู้ประกอบด้วยศีล 2 อย่าง หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. เมื่อศีลอันเป็นโลกิยะดับไปแล้ว มรรคจึงเกิดขึ้นหรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. บุคคลผู้ทุศีล มีศีลขาด มีศีลทะลุ ยังมรรคให้เกิดได้
หรือ ?
ส. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ป. ถ้าอย่างนั้น บุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยมรรค
เป็นผู้ประกอบด้วยศีล 2 อย่าง น่ะสิ.
ทวีหิสีเลหิ สมันนาคโตติกถา จบ

อรรถกถาทวีหิ สีเลหิ สมันนาคโตติกถา



ว่าด้วย ผู้ประกอบด้วยศีล 2



บัดนี้ ชื่อว่าเรื่อง บุคคลผู้ประกอบด้วยศีล 2 อย่าง. ในเรื่องนั้น
ชนเหล่าใดมีลัทธิดุจลัทธิของนิกายมหาสังฆิกะทั้งหลายนั่นแหละว่า บุคคล
ผู้มีศีลย่อมให้โลกุตตรมรรคเกิดด้วยโลกียศีลได้ พระบาลีว่า นรชน
ผู้มีศีล ตั้งอยู่เฉพาะแล้วในศีล
ดังนี้เป็นต้น เหตุใด เพราะเหตุนั้น บุคคล
นั้นจึงชื่อว่าผู้ประกอบด้วยศีล 2 อย่าง คือ ด้วยโลกียศีลที่เกิดก่อน และ
โลกุตตรศีลที่ในขณะแห่งมรรค ดังนี้ คำถามของสกวาทีว่า บุคคลผู้มี
ความพร้อมเพรียงด้วยมรรค
หมายชนเหล่านั้น คำตอบรับรองเป็นของ
ปรวาที. ลำดับนั้น สกวาทีจึงกล่าวว่า เป็นผู้ประกอบด้วยผัสสะ 2 อย่าง
เป็นต้น เพื่อท้วงด้วยคำว่า ถ้าบุคคลนั้นประกอบด้วยศีล 2 คือ โลกียศีล
และโลกุตตรศีลในขณะเดียวกันได้ไซร้ เขาผู้นั้นก็พึงเป็นผู้ประกอบด้วย
ธรรมอย่างละ 2 มีผัสสะ 2 เป็นต้นได้ ดังนี้ ปรวาทีเมื่อไม่เห็นนัยอันมี
อย่างนั้นเป็นรูป จึงตอบปฏิเสธ. ในปัญหาว่า เป็นผู้ประกอบด้วยศีลทั้งที่
เป็นโลกียะ และโลกุตตระ
ปรวาทีจึงตอบรับรองหมายเอาโลกียศีลที่
สมาทานแล้วในกาลก่อน และโลกุตตรศีลอันมีสัมมาวาจาเป็นต้น ที่เกิด
ขึ้นในขณะแห่งมรรค. คำถามว่า เมื่อศีลอันเป็นโลกิยะดับไปแล้ว เป็น
ของปรวาที คำตอบรับรองของสกวาทีหมายเอาความดับ คือ การดับ
ในขณะ คือภังคขณะ ปรวาทีนั้น เมื่อกำหนดคำว่าศีลดับนั้นคล้ายกับมี
การล่วงศีลอีก จึงถามว่า บุคคลผู้ทุศีล เป็นต้น อนึ่งการตั้งลัทธิของ
ปรวาทีนั้นย่อมแสดงซึ่งความที่บุคคลเป็นผู้มีศีลไม่ขาดมาก่อนเท่านั้น
ไม่ได้แสดงซึ่งความที่บุคคลเป็นผู้ประกอบด้วยศีล 2 อย่าง เพราะฉะนั้น
ลัทธินั้นจึงตั้งอยู่ไม่ได้แล.
อรรถกถาทวีหิ สีเลหิ สมันนาคโตติกถา จบ